ยับไปข้างเลย ก่อนเริ่มเกมผู้เล่น แมนซิตี้ ยืนตั้งแถวบริเวณทางเดินลงสนาม 

ยับไปข้างเลย พร้อมกับปรบมือเพื่อเป็นเกียรติให้กับผู้เล่นลิเวอร์พูลในฐานะแชมป์ลีกสูงสุดซีซั่นนี้ที่การันตีไปก่อนหน้านี้แล้ว เริ่มเกมนาทีที่ 4 ลิเวอร์พูลเกือบได้ประตูขึ้นนำจากจังหวะวางบอลยาวของ ฟาน ไดค์ ไปให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ พักอกแล้วตวัดยิงทันที แต่ยังไปติดเซฟของ เอแดร์ซอน ที่พุ่งปัดไว้ได้แต่บอลกลับไหลไปเข้าทง โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ที่ตามมาซ้ำดาบสองแต่น้ำหนักเบาเกินไปทำให้ เอแดร์ซอน ยังตามมารับไว้ได้อีกครั้ง

ผ่ามมาถึง 10 เควิน เดอ บรอยน์ ได้โอกาสกระชากบอลก่อนหวดเต็มข้อในกรอบเขตโทษลิเวอร์พูลแต่ดันไปติดบล็อกของ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่ยืนอยู่ถูกที่ถูกเวลา 14 แมนซิตี้ทำเสียวจากการเปิดบอลของ นิโกลัส โอตาเมนดี้ ทางฝั่งซ้ายพุ่งเลยผ่านแผงหลังหงส์แดงไปทางเสาไกลมี ฟิล โฟเด้น ที่พยายามล้มตัวแหย่เท้าแต่ไม่ถึงส่งผลให้บอลหลุดออกหลังไป

19 ลิเวอร์พูลหวิดได้ประตูขึ้นนำจากจังหวะสวนกลับไว ฟีร์มิโน่ หักข้อส่งบอลให้ ซาลาห์ พาบอลกระชากตัดเข้าในบริเวณกรอบเขตโทษก่อนกดด้วยเท้าซ้ายเต็มข้อบอลพุ่งแรงผ่านมือ เอแดร์ซอน ไปชนเสาอย่างจังแต่ยังไหลไปเข้าทาง มาเน่ ที่ตามมาเก็บบอลแต่เจ้าตัวดันจับไม่ดีบอลหลุดออกเส้นหลังไปอย่งน่าเสียดาย ดีต่อทีมตัวเอง

“ทัพเรือใบสีฟ้า” ขึ้นนำ 1-0 25 เมื่อได้ลูกจุดโทษจากจังหวะที่ ราฮีม สเตอร์ลิง ใช้ความสามารถเฉพาะตัวบังบอลพาเข้าไปในกรอบเขตโทษทีมเยือนก่อนถูก โจ โกเมซ ดึงล้มลง แอนโธนี่ เทย์เลอร์ ผู้ตัดสินนัดนี้ไม่รอช้าเป่าฟาวล์แถมให้ใบเหลืองกับ โจ โกเมซ อีกด้วย และเป็น เควิน เดอ บรอยน์ รับหน้าที่สังหารเข้าไปไม่เหลือซาก

นาทีที่ 33 เอแดร์ซอน โมราเอส นายด่านแมนซิตี้โชว์การอ่านเกมด้วยการวิ่งออกมาตัดบอลนอกกรอบเขตโทษทางฝั่งซ้ายก่อนที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จะถึงบอลแล้วมีโอกาสหลุดเข้าไปยิงประตู นาทีที่ 35 แมนซิตี้นำห่างเป็น 2-0 จากจังหวะไหลบอลแบบงามหยดของ ฟิล โฟเด้น บริเวณกลางกรอบเขตโทษไปให้ ราฮีม สเตอร์ลิง หลุดขึ้นไปแต่งบอลเข้าเท้าขวาก่อนจิ้มผ่านตัว อลิสซอน เบ็คเกอร์ เข้าไปกองก้นตาข่าย

เกมรุกของซิตี้ยังคงดุดันแถมฉีกแนวรับทัพหงส์แดงแบบขาดกระจุย 45+1 ทำประตูทิ้งห่างเป็น 3-0 จากจังหวะทำชิ่งของ ฟิล โฟเด้น ที่พลิกตัวส่งให้ เดอ บรอยน์ ก่อน โฟเด้น วิ่งไปรับบอลอีกครั้งแล้วกระชากเข้าไปซัดผ่านมือ อลิสซอน เบ็คเกอร์ ทำเอาตาข่ายสั่นสะเทือน

ยับไปข้างเลย

จบครึ่งแรก แมนฯ ซิตี้ โชว์ฟอร์มเกินคาดเปิดบ้านนำ ลิเวอร์พูล 3-1

มาลุ้นต่อครึ่งเวลาหลัง ลิเวอร์พูลปรับแผนโดนส่ง อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ลงเล่นแทน โจ โกเมซ 49 กาเบรียล เชซุส เกือบบวกสกอร์เพิ่มให้แมนซิตี้ได้จากความผิดพลาดของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่จะทุ่มให้เพื่อนร่วมทีมแต่ไม่ถึงเลยถูก เชซุส ใช้ความเร็วตัดบอลกระชากจี้เข้าหาเขตโทษก่อนตัดสินใจแปเล่นทางแต่ไม่ดีพอบอลไหลเข้ามือ อลิสซอน เบ็คเกอร์ รับเข้ามือ แฮนด์บอล

52 แมนซิตี้ ยังคงเปิดเกมบุกขึ้นมาอีกครั้ง เควิน เดอ บรอยน์ ได้หลุดไปเปิดบอลทางฝั่งขวาให้ โฟเด้น ที่จุดนัดพบวิ่งเข้ามาแปเน้นๆ แต่ไปติดแข้งหงส์แดงตัดออกไปได้อย่างหวุดหวิด ลิเวอร์พูล พลาดโอกาสได้ประตูไปอย่างน่าเสียดาย 54 เมื่อ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ตัดบอลได้แล้วแทงทะลุช่องให้ มาเน่ หลุดเดี่ยวเข้าไปแต่แข้งเซเนกัลกลับจับบอลไม่อยู่ปล่อยให้ไหลหลุดออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย

57 ลิเวอร์พูล ได้ลูกฟรีคิก มาเน่ ถูก เอริค การ์เซีย เบียดล้มลงตรงเส้นกรอบเขตโทษ ผู้ตัดสินเรียกดูวีเออาร์เพื่อความชัวร์และยืนยันให้เป็นการทำฟาวล์นอกเขตโทษ และ เป็น เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ รับหน้าที่สังหารแต่ควบคุมทิศทางไม่ดีบอลหลุดออกข้างเสาไป ดูบอลสด

ผ่านมาถึง 66 แมนซิตี้ ไม่ยอมผ่อนเกมได้ประตูนำขาด 4-0 เควิน เดอ บรอยน์ จ่ายบอลตัดแนวรับหงส์แดงให้ สเตอร์ลิง หลุดเข้าไปหักหลอกหนึ่งจังหวะก่อนซัดด้วยเท้าซ้ายผ่านมือ อลิสซอน เบ็คเกอร์ บอลทำท่าจะไม่ตรงกรอบแต่กลับไปถูกขา อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ที่พยายามยื่นมาสกัดเปลี่ยนทางเข้าประตูตัวเอง

76 ลิเวอร์พูล ได้โอกาสลุ้นประตูจาก ซาลาห์ ที่ปั่นโค้งด้วยเท้าซ้ายนอกกรอบเขตโทษแต่น้ำหนักดูเหมือนจะเบาเกินไปทำให้ เอแดร์ซอน กระโดดรับไว้ไร้ปัญหา ช่วงทดเวลา 90+4 แมนซิตี้ เกือบได้ประตูที่ 5 เมื่อ ริยาด มาห์เรซ หลุดเดี่ยวเข้าไปซัดประตูผ่านมือ อลิสซอน เบ็คเกอร์ เข้าไปแต่เมื่อย้อนดูวีเออาร์แล้วเกิดการแฮนด์บอลก่อนในจังหวะที่ มาห์เรซ จะหลุดเดี่ยวจึงทำให้ไม่ได้ประตู จบเกม แมนฯ ซิตี้ เปิดบ้านถล่ม ลิเวอร์พูลยับเยิน 4-0